การติดฉลากคาเวียร์

การติดฉลากคาเวียร์ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการรับรองความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับ ความถูกต้อง และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่คุณซื้อ ฉลากนี้ให้ข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้คุณเข้าใจถึงแหล่งที่มาและลักษณะเฉพาะของคาเวียร์ ซึ่งจะช่วยคุ้มครองสายพันธุ์ปลาสเตอร์เจียนและรับประกันแนวทางปฏิบัติทางธุรกิจที่ยั่งยืน

องค์ประกอบสำคัญของฉลากคาเวียร์:

  1. รหัสสายพันธุ์: ปลาสเตอร์เจียนแต่ละสายพันธุ์จะถูกระบุด้วยรหัสตัวอักษรและตัวเลขที่ไม่ซ้ำกัน ตัวอย่างเช่น "HUS" หมายถึงปลาเบลูก้า ส่วน "GUE" หมายถึงปลาออสเซตรา รหัสนี้มีความสำคัญในการระบุสายพันธุ์ที่มาของคาเวียร์
  2. แหล่งกำเนิดคาเวียร์: แหล่งกำเนิดของคาเวียร์จะระบุด้วยตัวอักษรเพื่อแยกความแตกต่างระหว่างคาเวียร์ป่า (W) กับคาเวียร์ที่เลี้ยงในฟาร์ม (C) เนื่องจากการจับปลาสเตอร์เจียนป่าถูกห้ามตั้งแต่ปี 1998 คาเวียร์ที่ถูกกฎหมายทั้งหมดในตลาดจึงต้องมาจากฟาร์มที่มีใบรับรอง
  3. ประเทศต้นกำเนิด: ฉลากมีอักษรย่อของประเทศที่ผลิตหรือบรรจุคาเวียร์ เช่น "IT" สำหรับอิตาลี "RU" สำหรับรัสเซีย เป็นต้น สิ่งสำคัญที่ต้องทราบคือในบางกรณี คาเวียร์อาจบรรจุในประเทศอื่นที่ไม่ใช่ประเทศต้นกำเนิดของปลา ซึ่งอาจส่งผลต่อการระบุประเทศต้นกำเนิดบนฉลาก
  4. ปีที่ผลิต: ข้อมูลนี้ระบุปีที่ผลิตไข่ ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถประเมินความสดของผลิตภัณฑ์ได้
  5. รหัสโรงงานและการระบุชุดการผลิต: รหัสเหล่านี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ผลิตที่เฉพาะเจาะจงและชุดการผลิต ซึ่งจำเป็นสำหรับการติดตามผลิตภัณฑ์

ความสำคัญของการติดฉลาก:

ข้อมูลบนฉลากไม่เพียงแต่เป็นข้อกำหนดทางกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นการรับประกันสำหรับผู้บริโภคอีกด้วย ฉลากที่ชัดเจนและมีรายละเอียดช่วยให้แน่ใจว่าคาเวียร์นั้นผลิตขึ้นตามกฎระเบียบระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่กำหนดโดย CITES (อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์) ระบบการติดฉลากนี้จะปกป้องทั้งผู้บริโภคและระบบนิเวศ ทำให้มั่นใจได้ว่าคาเวียร์นั้นเป็นของแท้และมาจากแหล่งที่ถูกกฎหมายและยั่งยืน